เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันเสาร์ ที่ 21 กันยายน 2567
เรื่อง แก่นธรรม
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายทุกส่วน ปล่อยวางกาย ปล่อยวางขันธ์ห้า ปล่อยวางความกังวลความคิดความวิตกความห่วงในกิจการงานหน้าที่ทั้งหลาย ภาระทั้งหลาย บุคคลทั้งหลาย
เมื่อปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว จึงกำหนดสติมาจดจ่อรู้อยู่กับลมหายใจ เห็นลมหายใจเป็นเหมือนประดุจแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย รู้ลมหายใจ รู้อารมณ์ใจ ลมหายใจยิ่งละเอียดประณีต เราเป็นผู้ติดตามดูติดตามรู้ในลมหายใจตลอดทั้งสาย ลมหายใจที่เป็นประดุจแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติรู้ต่อเนื่องราบรื่น เข้าถึงอารมณ์สบาย ลมหายใจละเอียด จดจ่อกับลมหายใจ
กำหนดรู้รักษาอารมณ์ใจที่เบาสบาย อารมณ์ใจที่เป็นสุข ทรงสภาวะความสบาย ความสุขสงบของสมาธิ ลมหายใจสงบ จิตใจสงบ ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ
คุมลมหายใจได้ย่อมคุมอารมณ์จิตได้ คุมอารมณ์จิตได้ย่อมคุมสภาวะภายนอกได้ สงบ ราบรื่น ปลอดโปร่ง เบาสบาย
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป หยุดจิต นิ่งหยุด สงบ จิตรวมเป็นหนึ่ง ณ จุดที่จิตรวมเป็นหนึ่ง กำหนดน้อมนึกเป็นนิมิตดวงแก้วสว่าง ดวงแก้วยิ่งสว่างใส ใจเรายิ่งมีความสบาย มีความเอิบอิ่ม มีพลัง
ดวงแก้วคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกองกสิณทั้งหลายที่เราเคยฝึกเคยปฏิบัติมา ดวงแก้วยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้น ดวงแก้วเปลี่ยนสภาวะจากแก้วสว่างใสกลายเป็นปฏิภาคนิมิต เป็นเพชรประกายพรึกสว่างระยิบระยับ มีเส้นแสงรัศมี จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ภาพนิมิตสัมพันธ์กับจิตใจ ยิ่งจิตมีสภาวะสว่างเป็นเพชรระยิบระยับมากเท่าไร ใจเรายิ่งเป็นสุข จิตยิ่งรู้สึกถึงความเปี่ยมพลัง
กำหนดรู้สรุปรวมในกำลังของฌานสมาบัติที่เรียกว่า “สมถะกรรมฐาน” อานาปานสติ มีสภาวะที่ทำให้ใจของเรา ปลอดโปร่งเบาสบาย ส่วนกสิณหรือกสิณจิตที่เราทรงอารมณ์อยู่ มีสภาวะที่ทำให้จิตเราเปี่ยมพลัง ยิ่งสว่างยิ่งมีความรู้สึกว่าจิตของเรามีพลังงานแก่กล้าแรงกล้า ยิ่งเพาะบ่มสะสมทรงอารมณ์ทรงสภาวะทรงภาพนิมิต จิตยิ่งเพิ่มพูนจิตตานุภาพแห่งอภิญญาสมาบัติ ด้วยเหตุนี้กสิณจึงเป็นรากฐานที่ทำให้เกิดอภิญญาจิตอภิญญาใหญ่ ทรงสภาวะแห่งจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่างระยิบระยับ ความรู้สึกว่าจิตของเรานั้นเปี่ยมพลัง แสงสว่างจากจิตยิ่งสว่าง
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป น้อมจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า กำลังของพุทธานุภาพปรากฏภาพนิมิตองค์พระอยู่ภายในจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น พุทธานุภาพผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จิตเราถึงพุทธ พุทธเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา กระแสพุทธานุภาพน้อมหลอมรวมลงสู่จิตของเราได้เต็มกำลัง
จากนั้นกำหนดจิตแผ่เมตตาเป็นกระแสจากองค์พระจากจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก แผ่สว่างออกไป ทั่วอนันตจักรวาล ทั่วสามภพภูมิ แผ่เมตตาเป็นกระแสของความสงบเย็น
เมตตาก็ดี พรหมวิหารสี่ก็ดี เป็นกำลังกรรมฐานสำคัญที่เป็นตัวปรับ ปรับใจของเราจากเร่าร้อนให้สงบร่มเย็น จากจิตใจที่มีความหยาบมีความกระด้างก็กลายเป็นจิตที่มีความละเอียดประณีต
เมตตาและพรหมวิหารสี่ เป็นตัวปรับจิตของผู้ปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมอ่อนโยนละเอียดอ่อน เข้าสู่ธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมที่สูงขึ้น
ดังนั้นเรากำหนดแผ่เมตตาสว่างออกไปไม่มีประมาณ อารมณ์จิตยิ่งเป็นสุขยิ่งสงบยิ่งเย็น จิตมีองค์พระสว่าง จิตเป็นเพชรประกายพรึก จิตแผ่กระแสเมตตาไปพร้อมกับคลื่นกระแสเส้นแสงกระแสจากดวงจิตของเรา ยิ่งแผ่ใจเรายิ่งรู้สึกถึงความสุขที่เพิ่มขึ้นจากการที่เราได้แผ่กระแสแห่งบุญกุศลความสุขความเมตตาไปยังจิตดวงอื่นและจิตดวงอื่นพลอยมีความสุขตามไปด้วย ไม่เฉพาะแต่จิตของเราที่ได้รับเสวยความสุขจากการทรงกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ
กระแสเมตตาที่เราแผ่นั้นก็ยังประโยชน์สุขให้กับดวงจิตทั้งหลายให้กับมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มากมายเพิ่มพูนตามไปด้วยเช่นกัน แผ่กระแสเมตตาสว่าง สงบร่มเย็นสันติ จิตแต่ละดวงที่ปฏิบัติธรรมล้วนแต่เป็นผู้ปราศจากเวรภัย จิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียน จิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นจิตของผู้ที่มีการเกื้อกูลสงเคราะห์ เมตตาแผ่ออกไปจากจิตของเราทุกดวงประดุจดวงจิตแห่งพระโพธิสัตว์ เมตตายังความสงบเย็นให้กับโลกให้กับสังสารวัฏนี้ กระแสเมตตาก่อเกิดความสงบความร่มเย็น ใจเราละเอียดประณีต สว่างไสว ทรงสภาวะจิตที่เปล่งประกายแสงสว่าง แผ่กระแสเมตตา จิตของเราอโหสิกรรมไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกับผู้หนึ่งผู้ใด จิตของเราละวางความพยาบาทจองเวรทั้งปวง จิตของเราสว่างไสว เป็นจิตอันเป็นประภัสสรอย่างแท้จริง
จากนั้นกำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าทั้งหลายขึ้นไปบนพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพร้อมทั้งมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน กายทิพย์ของข้าพเจ้าจงเป็นสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพสว่าง เมื่อยกจิตขึ้นไปแล้ว เราก็อธิษฐานจิต พิจารณาตัดชาติภพทั้งหลาย ตัดสังโยชน์ทั้งสิบประการ ปล่อยวาง พิจารณาสิ่งที่เราห่วงที่สุด สิ่งที่เรารักที่สุด พิจารณาให้อารมณ์จิตเราเข้าถึงอารมณ์ของอรหัตผลแม้เพียงชั่วคราว แต่ทุกครั้งในการปฏิบัติทุกครั้งที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน เราตั้งอารมณ์ใจเต็มที่เต็มกำลังไว้เสมอ ตัดกาย ละวาง พิจารณาตัดกิเลสตัดสังโยชน์สิบ ตัดภพจบชาติประดุจว่าเป็นเวลาสุดท้ายของชีวิตเราก่อนที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เราพิจารณาซ้ำบนพระนิพพาน ถามจิตตอบจิต สิ่งใดที่เรายังห่วงมีไหม สิ่งใดที่เราอาลัยยังมีไหม สิ่งใดเป็นเครื่องดึงดูดใจของเราให้กลับมาเกิดเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏมีอีกไหม สิ่งที่ชอบที่สุด สิ่งที่เรารักที่สุด สิ่งที่พึงพอใจที่สุด สิ่งที่ยึดติดที่สุด วางบนอารมณ์พระนิพพาน วางให้หมดเพื่อจบกิจ
พิจารณา ละ วาง พิจารณาวิปัสสนาญาณบนพระนิพพาน พิจารณาว่าเราคืออาทิสมานกาย เราไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา เหตุผลสำคัญในการปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน หากที่เรายังไม่แยกรูปแยกนาม แยกกายเนื้อกายทิพย์ ไม่แยกอาทิสมานกายออกมา เมื่อยังแยกไม่ได้ เราก็ยังตัดร่างกายเรายังไม่ขาดยังไม่ได้เต็มที่ ยังไม่ได้ถึงจุดที่ทำให้เราตัดวางปล่อยวางได้อย่างมีกำลังเพียงพอ
ให้เราสังเกตดูว่าเวลาที่เรามาเจริญวิปัสสนาญาณโดยที่เราถอดกายทิพย์ออกมาเจริญพระกรรมฐาน กับการที่เราพิจารณาในสมัยก่อนที่ยังไม่ค่อยได้สมาธิเท่าไร อารมณ์จิต ปัญญา ความเข้าใจ มันจะมีความละเอียดลึกซึ้งไม่เท่ากับตอนที่เราได้สมถะ กำลังสมถะที่สูง มโนมยิทธิที่เราแยกอาทิสมานกายออกมาได้คล่องตัว หรือการยกจิตมาเจริญวิปัสสนาญาณอยู่บนพระนิพพาน เราจะเห็นข้อแตกต่างในการปฏิบัติธรรมในจุดที่เราก้าวหน้าในการที่เราปฏิบัติต่อเนื่องจนมาถึงจุดนี้ที่เราปฏิบัติ ดังนั้นเลยเป็นเหตุผลสำคัญที่การบรรลุมรรคผลนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องได้สมาธิในระดับหนึ่งจุดหนึ่ง ทุกอย่างมีเหตุมีผล
สุกขวิปัสสโกก็จำเป็นต้องได้ฌานอย่างน้อยฌานหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่สุดในอานาปานสติ
เตวิชโช วิชชาสามก็มีความจำเป็นที่จะต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่งที่เป็นบาทฐานที่ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
ฉฬภิญโญหรืออภิญญาหกก็จำเป็นที่จะต้องได้กสิณธาตุทั้งสี่ มีอิทธิวิธี มีจิตตานุภาพอยู่เหนือธาตุทั้งสี่ จึงสามารถเกิดอภิญญาใหญ่เกิดอภิญญาจิตได้
ปฏิสัมภิทาญาณก็มีความจำเป็นที่จะต้องได้อรูปสมาบัติกองใดกองหนึ่ง
ส่วนพุทธภูมินี่ไม่ต้องพูดถึง ต้องทำให้ได้ทั้งหมด คล่องตัวทั้งกรรมฐานสี่สิบกอง ฌานสมาบัติก็ต้องคล่องตัวไปฝึกไปจบจนถึงอรูปสมาบัติ 8 ไม่นับความรู้ต่างๆ
สิ่งสำคัญที่เป็นข้อแตกต่างในพุทธวิสัยกับสาวกภูมิวิสัย
พุทธภูมิวิสัยถึงเวลาบารมีทั้งสามสิบทัศของท่านที่รวมจากการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นวิสัยของปัญญาธิกะก็ดี ศรัทธาธิกะก็ดี วิริยาธิกะก็ดี บารมีของท่านที่เป็นพุทธภูมิ ท่านก็จะเก็บรวมสะสมความรู้ทั้งหลาย การปฏิบัติทั้งหลาย ความทรงจำทั้งหลาย อดีตชาติภพ ความรู้ต่างๆในทุกชาติภพท่านเก็บหมด และความรู้ความจำปัญญาที่รวมรู้จึงกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “สัพพัญญูญาณ” สัพพัญญูญาณคือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะความทรงจำทั้งหลายบารมีทั้งหลายถูกรวบรวมบันทึกในจิตที่รู้ตื่นขึ้นสู่ความเป็นพุทธะในยามที่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้ก็คือวิสัยของพุทธภูมิ ถือว่าเป็นการเล่าความรู้พิเศษให้ฟัง
ส่วนเราเองหากเป็นสาวกภูมิ การปฏิบัติอันที่จริงเราก็เข้าใจรู้ในอริยสัจสี่ ปฏิบัติโดยตรงตามแนวทางวิสัยที่เราชอบ แต่ถ้าหากได้มโนมยิทธิมีความคล่องตัวมีความถูกจริตกันกับมโนมยิทธิ อันนี้ก็ถือว่าการปฏิบัติในวิสัยของเรา อย่างน้อยเราก็ได้ในอภิญญาคืออภิญญาหก ฉฬภิญโญเป็นอย่างน้อย
หากมีความคล่องตัวในการปฏิบัติในอรูปสมาบัติและมีความพึงพอใจในเรื่องของปัญญาอย่างยิ่งยวด จริตเราวิสัยการบรรลุมรรคผลของเราก็อาจจะถูกจริตตรงจริตกับปฏิสัมภิทาญาณ อันที่จริงบอกว่าการใช้ปัญญา ปัญญาที่สูงที่สุดในสาวกภูมิวิสัย อันที่จริงผู้ที่บรรลุธรรมในวิสัยที่มีปัญญาสูงที่สุดก็คือปฏิสัมภิทาญาณ จริงๆมีคนบอกว่าไม่ต้องเอาฤทธิ์เอาเดช เอาปัญญาก็พอ แต่หารู้ไม่ว่าปัญญาสูงสุดที่ได้ก็คือปฏิสัมภิทาญาณ มีปัญญายังไง มีปัญญาที่สอนสิ่งที่ยากให้ง่าย อธิบายธรรมะที่ยากลึกซึ้งให้กลายเป็นของง่ายเข้าใจเพียงด้วยคำไม่กี่คำ หรือสิ่งที่ง่ายอยู่แล้วเป็นธรรมะที่ง่ายอยู่แล้วสามารถแตกลึกซึ้งพิสดารเพราะความประณีต ปัญญาเครื่องรู้ท่านลึกท่านละเอียดและที่สำคัญที่สุดก็คือส่วนใหญ่ปฏิสัมภิทาญาณท่านมักที่จะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นโลกทิพย์ก็ดี พระใหญ่ท่านเมตตามาสอนโดยตรงพอดี ดังนั้นกระแสปัญญาเครื่องรู้จึงมีมากกว่าในวิสัยทั้งหมดทั้งสี่ประการ ไม่ต้องพูดถึงท่านที่แสดงธรรมอธิบายธรรมโดยใช้ปัญญาความรู้ของตัวเอง คิดในแบบปุถุชนวิสัย เข้าใจสันนิษฐาน แต่เมื่อไรคนที่เขาได้ฌานได้ญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งญาณที่เป็นโลกุตระญาณคือญาณเครื่องรู้จากการที่พิจารณาตัดกิเลสบ่อยๆ มีความเป็นทิพย์ของจิต ญาณเครื่องรู้อันเป็นทิพย์ของจิตตรงต่อองค์พระศาสดา ธรรมะที่เข้าใจก็เป็นธรรมที่ตรงกับมรรคผลกับกระแสโลกุตระ
ดังนั้นในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่งที่เป็นการคัดกรอง คัดกรองชาวธรรมที่ปฏิบัติหลายคนก็อาจจะเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราที่มาปฏิบัติในสายมโนมยิทธิ เราโชคดีที่เจอครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อพระราชพรหมญาณที่ท่านมีบารมีเต็มมีบารมีสูง อย่างล่าสุดนี้มีคนที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ท่านมากล่าวหาว่าท่านเป็นพระที่ได้แค่เตวิชโช อันนี้ก็ต้องอธิบายให้เราเข้าใจความเป็นมา บารมีของครูบาอาจารย์ที่ท่านปกเกล้าปกเกศ ถ่ายทอดวิชชาจนเราหลายๆคนมีความก้าวหน้า จนเราหลายๆคนเห็นทางแห่งพระนิพพานอย่างชัดเจน หลวงพ่อท่านเป็นพระโพธิสัตว์ วิริยบารมีเป็นวิริยาธิกะ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพุทธพยากรณ์ มีลำดับในพระอนาคตวงศ์เป็นที่เรียบร้อย แต่ท่านเมตตามาช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านจึงลาพุทธภูมิเช่นเดียวกับครูบาอาจารย์หลายๆรูปที่เมตตาเกื้อกูลสงเคราะห์มวลสรรพสัตว์ ลาพุทธภูมิ เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้วท่านก็บรรลุอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณในวันที่ห้าสิงหาคมในอดีตที่ผ่านมา ตัวท่านมีบารมีเต็มเรียกว่าเป็น “อนุพุทธะ” คือการสอนธรรมะทั้งหลายของท่านประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาสอนด้วยพระองค์เอง อันนี้ถือว่าใครที่ได้พบได้เจอได้ฟังธรรมได้ปฏิบัติก็จะพบเจอกับอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือความอัศจรรย์ใจในการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจนตนเองเห็นประจักษ์แจ้งเป็นอัศจรรย์ที่เรียกว่าเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้ด้วยตนเอง จากจิตที่ไม่เคยได้ฌานก็กลายเป็นได้ฌาน จิตที่ไม่เคยได้ญาณเครื่องรู้ต่างๆก็ได้ญาณ ญาณทั้ง 8 อันเป็นเครื่องประกอบสำคัญในการพิจารณาในวิปัสสนาญาณ รู้อดีตชาติ รู้ปัจจุบัน รู้เพื่อละ รู้เพื่อเห็นเหตุแห่งกรรม เชื่อกฎของกรรม แยกอาทิสมานกายไปภพภูมิต่างๆ นรก สวรรค์ ก็เพื่อตนได้มีปัญญาเห็นว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง พรหมมีจริงแล้วก็นิพพานมีจริง พอเราปฏิบัติไปจนเข้าถึง รำลึกรู้ได้ด้วยตัวเอง หนทางแห่งพระนิพพานก็ย่อมกระจ่างแจ้งมากกว่าคนที่เขาไม่เห็น
จนป่านนี้คนในพระพุทธศาสนาคือเกิดอยู่ในประเทศไทย เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีชื่อในบัตรประชาชนทะเบียนบ้านว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เวียนว่ายตายเกิด กฎของกรรม คือเรียกว่าเกิดมาเสียข้าวสุกเปล่าๆ เกิดมาไม่คุ้ม ไม่เคยได้ลิ้มรสธรรมะลิ้มรสความสงบเย็น อันนี้ก็ถือว่ามาเกิดมาอยู่ในศาสนาพุทธแต่เป็นมิจฉาทิฐิ คำว่ามิจฉาทิฐิก็คือมีความเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปกราบไหว้บูชา จะเอาแค่ธรรมะอย่างเดียว อภิญญาทั้งหลายก็ไม่เอา คิดว่าเรามีปัญญา พิจารณาแค่ดับทุกข์ซึ่งทุกข์นั้นมันก็เป็นแค่การดับทุกข์เพียงแค่ความทุกข์ในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถึงบอกว่าความทุกข์พิจารณาในอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ความทุกข์มันมีหลายระดับ ความทุกข์มันมีตั้งแต่ความทุกข์จากการมีขันธ์ห้า ฟังแล้วก็พิจารณาตาม ทุกข์จากการมีขันธ์ห้า ก็คือความหิวกระหาย เย็น ร้อน เหนื่อย ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ภาระในการดูแลร่างกาย ภาระในการดูแลชีวิตของการมีขันธ์ห้า อันนี้คือทุกข์จากสภาวะของการมีขันธ์ห้า ซึ่งเป็นปกติของการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์มามีกายเนื้อ ความทุกข์จากการมีขันธ์ห้า ถ้าเราเป็นเทวดามันก็ไม่มีทุกข์แบบนี้ แก่ไหมไม่แก่ เป็นหนุ่มเป็นสาวไปเหมือนกับอายุสิบหก ยาวจวบอายุขัยของความเป็นทิพย์ในความเป็นเทวดาและพรหม อาหารความเป็นทิพย์เพียงแค่นึกก็มีของทิพย์มาให้เสวยมาให้เราได้ดื่มกิน วิมานก็มีวิมานอันเป็นทิพย์ไม่มีความเก่าไม่มีความเสื่อมสลายไปจนกว่าจะหมดบุญ ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีภัยพิบัติ สิ่งที่จะทำลายทิพยสมบัติวิมานสมบัติได้ก็คือหมดบุญ อันนี้ความทุกข์มันก็ต่างกัน
ความทุกข์ต่อมามันก็คือความทุกข์จากการถูกเบียดเบียน ตราบที่อยู่ในโลกที่มนุษย์ยังไม่มีศีลธรรม ยังมีการละเมิดศีลห้า ยังมีการคดโกง ยังมีการเข่นฆ่า ยังมีการใส่ร้ายป้ายสี มีความอิจฉาริษยา มีการใช้วาจากระทบกระทั่ง มีอารมณ์ความโกรธแค้นความพยาบาท มีการล่อลวงหลอกล่อให้มัวเมาให้ลุ่มหลงในอบายมุข ติดในการพนัน ติดในสุรา ติดในยาเสพติด คราวนี้มันก็คือความทุกข์จากการเบียดเบียนกัน ความทุกข์จากการเบียดเบียนกันมันดับได้อย่างไร ก็ดับด้วยการที่เรามีศีลห้า ดับด้วยสภาวะที่เมื่อไรโลกนี้มีศีลธรรมมีคุณธรรม ผู้เป็นใหญ่ผู้ออกกฎหมายไม่ออกกฎหมายที่นำอบายมุขนำสิ่งผิดกฎหมายให้มาเป็นสิ่งที่ถูก คนทำผิดต้องมีกฎหมายบังคับใช้เพื่อให้เกิดความกลัวเกรง ไม่ใช่ทำชั่วเท่าไรก็ไม่ต้องรับผิด ในโลกที่การเบียดเบียนมันบรรเทาเบาบาง ทุกคนมีศีลห้าเป็นปกติประจำใจ กฎหมายก็ไม่จำเป็นต้องบังคับใช้ เพราะทุกคนมีศีลห้า ไม่มีใครทำผิดกฎหมายโดยธรรมชาติโดยคุณธรรมของจิต
ในยุคที่ศีลธรรมรุ่งเรือง เคยมีตำนานกล่าวในพุทธประวัติ กล่าวไว้ว่า มีการปล่อยม้าอาชาไนยในเมืองใส่เครื่องทรง ใส่เครื่องประดับคือเพชรพลอยแก้วแหวน เครื่องอานบังเหียน เครื่องประดับ กรอบประดับของม้า ม้านี้ก็ใส่เครื่องประดับเพชรพลอยทองคำทั้งหมด ปล่อยให้วิ่งเล่นอยู่ในเมือง ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีใครมาแย่งชิง อันนี้ท่านพระราชาท่านใช้เป็นเครื่องวัดว่ามีโจรผู้ร้ายไหมหรือคนในเมืองมีศีลธรรมเป็นปกติ บ้านทุกหลังไม่จำเป็นต้องมีรั้ว ไม่มีกลอนล็อค ไม่จำเป็นต้องมีกลอนล็อค เพราะไม่มีขโมย สมัยนี้เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดก็ยังอุตส่าห์มีโจร ให้เราคิดพิจารณาว่าจริงๆแล้วอันที่จริงความทุกข์นี่มันมาจากความเสื่อมของศีลธรรมในโลก การคดโกงกัน การเอาเปรียบกัน การใส่ร้ายป้ายสีกัน ก็เพราะจิตใจ
ดังนั้นเริ่มที่จิตใจ เริ่มที่เมตตา เริ่มด้วยสันติสุข เราก็เปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นยุคชาววิไลได้ อันนี้คือความทุกข์จากการเบียดเบียน จากความไร้ศีลธรรม และความเสื่อมของจิตใจ ยิ่งผู้คนบนโลกมนุษย์กระทำบาปหยาบช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมที่เป็นกรรมใหญ่ ใส่ร้ายป้ายสีคนดีคนมีคุณธรรม ทำผิดให้เป็นเรื่องถูก บิดเบือนทำร้ายคุณธรรมคือทำลายศาสนา สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม สร้างความแตกแยกประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อกตัญญูชังชาติชังแผ่นดิน กรรมใหญ่ๆทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ เกิดภัยพิบัติทางน้ำ เกิดภัยพิบัติทางลมก็คือ วาตภัยพายุต่างๆ เกิดภัยพิบัติทางปฐพีก็คือแผ่นดิน เกิดแผ่นดินไหว เกิดแลนด์สไลด์เกิดการถล่ม สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ อันที่จริงกรรม แรงวิบากกรรมมันมีผลและคนยิ่งมีอารมณ์ใจที่เกลียดชังโหดร้าย ทำลายความดีทำลายศีลธรรมมากเท่าไร จิตวิญญาณที่เป็นคลื่นกระแสเดียวกันก็คือเปรตปอบอสุรกายสัตว์นรกก็ยิ่งมีกำลัง พอยิ่งมีกำลัง จิตทั้งหลายเหล่านี้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทจองเวร ถึงเวลาเขาก็มาเอาคืน เป็นเจ้ากรรมนายเวรใครก็มาทวงคืนมากระทำกับบุคคลนั้น ใครที่กำลังบุญถดถอยไป ใครที่มีกำลังจิตตานุภาพที่อ่อน ถึงเวลาก็มีเคราะห์ ถูกกระแสถูกเจ้ากรรมนายเวรเขาทำ แต่ใครที่เจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ ทรงภาพองค์พระคลุมสม่ำเสมอ ขอบารมีพระคลุม แผ่เมตตาเป็นนิจ มีกระแสแห่งเมตตาเป็นคลื่นผลักดันไม่ให้กระแสวิบากกรรมกล้ำกรายเข้ามาใกล้ ถ้าไม่เกินกฎของกรรมที่เข้ามาสนองพอดิบพอดี ส่วนใหญ่ก็รอดจากภัยพิบัติ รอดจากเจ้ากรรมนายเวร รอดจากวิบากอกุศลได้
ดังนั้นกรรมทั้งหลายจากการเบียดเบียนกันมันก็มารวมตัวกันเป็นพลังงานใหญ่ พอมันมากเข้ามากเข้าในแต่ละเขตประเทศ แต่ละสถานที่ แต่ละจังหวัด มันก็กลายเป็นวิบากกรรมมวลรวม วิบากกรรมมวลรวมมันก็ทรงผลยังเขตนั้นพื้นที่นั้นเกิดเป็นภัยพิบัติ เกิดเป็นเหตุต่างๆ อันที่จริงแล้วทุกอย่างให้เราพิจารณาเป็นหลักของใจไว้ได้เลยว่าทุกสิ่งที่เราได้พบ ทุกสิ่งที่เราประสบ ล้วนแล้วแต่เป็นกฎของกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมในอดีตชาติหรือเป็นกรรมในปัจจุบัน สิ่งที่เราเคยทำเราย่อมเป็นผู้ได้รับผลของกรรม การที่เราพ้นจากวิบากก็เป็นเพราะกรรมดีเป็นเพราะบุญแห่งพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านก็เตือนไว้ว่าในเรื่องของวิบากในเรื่องของกรรมนั้น ทานนั้นมีผลถือว่าน้อยที่สุด เวลาที่มีวิบากกรรมอุปมาเหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปค้ำภูเขาที่ถล่ม อันที่จริงการแก้การสะเดาะการคลายวิบากกรรมอกุศล อานิสงส์ที่มีผลสูงสุดในการทำให้พ้นบรรเทาหรือรอดจากวิกฤตจากวิบากกรรม ก็คือบุญแห่งการภาวนา บุญแห่งการเจริญพระกรรมฐาน
แล้วที่จริงบุญที่มันตรงจุดที่สุดในภาวนาในการเจริญพระกรรมฐานก็คือการเจริญเมตตา การเจริญพรหมวิหารสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เราแผ่เมตตา การที่เราอโหสิกรรม การที่เราขมากรรม มันเป็นการสลายล้างวิบากอกุศล วิบากกรรมให้มันจางให้มันบรรเทา เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายในร้อยเปอร์เซนต์จะมีสี่สิบหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เมื่อเราแผ่เมตตา เมื่อเราอโหสิกรรม เมื่อเราขอขมากรรม เขายอม แต่ก็จะมีดวงจิตอีกจำนวนหนึ่งมากน้อยขึ้นอยู่กับวิบากกรรมที่เราเคยทำ ความเข้มข้นแรงแค้น ยิ่งทำเขาไว้แสบ เขาฝังใจแค้นฝังหุ่นมากเท่าไร เราแผ่เมตตา เราขออโหสิกรรม โอกาสที่เขายอมมันก็จะน้อยลง อันนี้ขึ้นอยู่กับวาระกรรมเก่าที่เราเคยทำ แต่ถ้าเราเข้าทางธรรมมาแล้วหลายชาติภพ ปฏิบัติธรรมเจริญเมตตาเจริญพระกรรมฐานมานาน บุญตรงนี้มันมีสูง เราเลิกเราไม่ค่อยแสบ เลิกแสบ เลิกร้ายกาจมาหลายชาติภพ เจ้ากรรมนายเวรที่เขามีความเข้มข้นจองล้างจองผลาญพยาบาทมันก็บรรเทามันก็น้อยลง
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะพ้นจากวิบาก พ้นจากเจ้ากรรมนายเวรได้ เราก็ต้องหมั่นเจริญพระกรรมฐาน หมั่นเจริญเมตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอขมากรรม การอโหสิกรรม การไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวร เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์เคยพูดเสมอว่าก่อนที่เราจะขอให้เจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรม ตัวเราเองควรที่จะต้องเลิกเป็นเจ้ากรรมนายเวรกับคนอื่นก่อน เรายังไม่ให้อภัยคนอื่นแล้วไฉนเราจะหวังให้ผู้อื่นอภัยให้เรา การที่เราอภัยทานมันก็เป็นการตัดวิบากกรรมสำคัญ ยิ่งอภัยได้มากเท่าไร พยาบาทหมดจากใจยิ่งเป็นองค์ในการตัดสังโยชน์ข้อสำคัญอันเป็นบาทฐานของการเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี ตัดพยาบาท ตัดการจองเวร น้อมใจของเราขณะนี้อภัยทานต่อทุกดวงจิต สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ อยู่ในทะเลทุกข์ มีความทุกข์มากมายอยู่แล้ว เราไม่ปรารถนาที่จะจองเวรผู้ใด อโหสิกรรมให้กับทุกดวงจิตจนจิตของเรานั้นยิ่งเบายิ่งสว่างยิ่งสูง พ้นจากแรงดึงดูดของวิบากกรรมที่ดึงเราไปก่อเวรก่อกรรมก่อชาติภพ ก่อการจองล้างจองผลาญต่อจิตดวงอื่น ละ วาง ให้อภัยทาน อโหสิกรรม เป็นมหาอภัยทาน เมตตามหาอภัยทานจนใจของเราเอิบอิ่มแช่มชื่นปีติสุข วางและเบา ละเอียด
เมื่อจิตเราสว่าง ขมากรรม อโหสิกรรมแล้วก็ตั้งจิตต่อไป วาระนี้ก็เป็นวาระช่วงที่เขาคัดกรอง ในหลายชั้น ชั้นที่หนึ่ง คือคัดกรอง คนบุญคนบาป คนดีคนชั่ว คนที่พึงถูกล้าง คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์เข้าสู่ยุคชาววิไล เกิดภัยพิบัติตอนนี้ก็เริ่มเกิดในหลายพื้นที่ทั่วโลกไม่เฉพาะกับประเทศไทยอย่างเดียว เกิดเป็นภัยพิบัติกระจายตัว มันไม่ได้เกิดชนิดที่เหมือนกับโลกจะแตกไปทั้งหมด มันเกิดจุดนั้นเกิดจุดนี้ เก็บไปตามเหตุตามปัจจัยตามกรรม ซึ่งเกิดแบบนี้คนที่มีบุญก็อยู่ในวิสัยที่รอด คราวนี้อีกเรื่องหนึ่งก็คือในธรรมก็ตาม ธรรมตอนนี้ก็ถูกคัดกรอง ธรรมที่เป็นสัมมาทิฐิเห็นเป็นธรรมเหมือนกันแต่เป็นธรรมที่เป็นเพียงแค่ธรรมะที่กล่าวถึงการดับทุกข์เฉพาะในชาติปัจจุบัน เช่นรู้การกระทบ รู้อารมณ์รู้จิต แต่ยังไม่ได้เข้าถึงรู้เห็นภัยในสังสารวัฏ รู้เห็นหนทางแห่งมรรคผล รู้เห็นหนทางแห่งพระนิพพาน อันนี้ถือว่าเป็นข้อสำคัญ ในเจตนารมณ์ที่พระพุทธองค์ทรงสอน ในทุกศาสนาอันที่จริงก็มีวิธีดับทุกข์คลายทุกข์ด้วยธรรมต่างๆ
แต่พระพุทธศาสนาที่มีข้อพิเศษสุด ซึ่งบุคคลที่เขาคิดจะทำลายเขาก็พยายามจะตัด คือเรื่องพระนิพพาน คือเรื่องสังสารวัฏ คือเรื่องนรกสวรรค์ คือเรื่องกฎของกรรม อันนี้คือสิ่งที่ถ้าไม่รู้ก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อว่ากรรมมีจริง ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง ไม่เชื่อว่ามรรคผลมีจริง ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง ไม่เชื่อในคุณพระพุทธเจ้า อันนี้เราหลายคนก็มีความเข้าใจไม่เช่นนั้นก็คงไม่ปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ปรารถนาพระนิพพาน
ดังนั้นธรรมะต่างๆก็จะมีบางคนเขาก็จะพยายามตัดตอนไม่เอาอภิญญาไม่เอาวิชชาสาม ไม่เอาฉฬภิญโญอภิญญาหก คืออิทธิวิธีเรื่องฤทธิเรื่องเดชไม่เอา ปฏิสัมภิทาญาณไม่ต้องไปพูดถึง การปฏิบัติในวิสัยของพุทธภูมิของพระโพธิสัตว์ไม่เอา จะเอาแค่ที่มันเป็นแค่สุกขวิปัสสโก ไม่ต้องรู้เห็นอะไร อันที่จริงก็เหมือนกับตัดต้นไม้ไปเกือบหมดทุกต้น เหลือเป็นแค่กิ่งแห้งอยู่กิ่งเดียว ดังนั้นตัวเราปฏิบัติจนมีความเข้าใจ มองเห็นครอบคลุมในวิสัย มีความเข้าใจ เราก็โมทนาในทุกวิสัย แต่ตัวเราก็เข้าใจจริตว่าเราเหมาะสมปฏิบัติอย่างไรแล้วเราก้าวหน้า ปฏิบัติแล้วใจเราแนบอยู่กับพระพุทธเจ้า แนบอยู่กับพระนิพพาน แนบอยู่กับพระอริยสงฆ์
ดังนั้นสิ่งสำคัญหลายคนเป็นที่น่าเสียดายที่แสวงหาความดี แต่หลายคนก็เจออาจารย์ที่สอนบังเอิญสอนไม่ตรงหรือเข้าใจยังไม่ตรงหรือเข้าใจยังไม่ครอบคลุมหรือไปพบอาจารย์ที่ไม่ตรงกับวิสัย หลายคนเป็นวิสัยของอภิญญาแต่ไปพบอาจารย์ที่เป็นวิสัยสุกขวิปัสสโก เรียนไปฝึกไปนานเท่าไรก็ไม่ค่อยก้าวหน้า ดังนั้นจุดสำคัญก็คือคำอธิษฐาน อธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่เป็นพระจริงพระแท้พระสุปฏิปันโนพระโพธิสัตว์ พบครูบาอาจารย์ที่ตรงวิสัย พบครูบาอาจารย์ที่มีบุญวาสนาบารมีเพื่อเกื้อกูลสงเคราะห์ให้เกิดความเจริญในธรรม อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้าพบอาจารย์ผิด มรรคผลพระนิพพานก็อาจจะเนิ่นนานช้าไป แทนที่จะไปได้ชาตินี้ก็อาจจะอีกหลายชาติ
ดังนั้นคำอธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่ตรงที่ใช่นั้นสำคัญที่สุด อันนี้ประสบการณ์ของอาจารย์เอง อาจารย์อธิษฐานมาหลายภพชาติ ขอพบแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นเลิศเป็นหนึ่งที่เป็นเอตทัคคะในศาสตร์นั้นๆ ในแต่ละภพชาติ ก็ได้โอกาสที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่ถือว่าเป็นเลิศในหลายชาติภพ มาปัจจุบัน ในชาติภพปัจจุบัน เอาแค่วิชาทางโลก วิชาทางโลกก็ได้เรียนวิชากับครูอาจารย์ที่ท่านถือว่าเป็นราชครู เป็นอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นอาจารย์ของพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นอาจารย์สอนทั้งวิชาทางโลก สอนทั้งคุณธรรมความดี ส่วนวิชาทางธรรม บวชก็ได้บวชกับสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนซึ่งท่านก็เป็นพระทองคำเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหลวงตามหาบัวยืนยันในคุณธรรมของท่าน ในโลกทิพย์ก็พบเจอครูบาอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยาน พบเจอครูบาอาจารย์ที่ถือว่าเป็นเลิศและมีบารมีวาสนาที่เกี่ยวพันในการสืบต่อพระพุทธศาสนามาในระยะเวลานับตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราอยากก้าวหน้าเราต้องพบครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นของจริง เป็นของตรง และเมื่อเราพบแล้วเราก็ต้องมีปัญญารู้ว่าพบแล้ว เราจะมีความขยันหมั่นเพียรเก็บเกี่ยวปัญญาภูมิความรู้ภูมิธรรมน้อมนำมาใส่ในจิตของเรา อย่าไปคิดว่าเราพบครูบาอาจารย์เพียงแค่ได้กล่าวว่าฉันได้ไปกราบพระองค์นั้นองค์นี้พระอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้แล้ว ไม่สำคัญแค่เพียงกราบ คือมีความเคารพนอบน้อมอย่างเดียว ถ้าจะเอาความก้าวหน้านั้น เราไปกราบครูบาอาจารย์ท่านใด เราต้องตั้งใจว่าไปเอาพระธรรมคือน้อมนำคุณธรรมความดีความสามารถของท่านมาสู่จิตของเรา ให้เราก้าวหน้า ให้เรายกระดับจิตเพื่อก้าวเข้าสู่มรรคผลพระนิพพานให้ได้ จำไว้เสมอว่าเวลาไปกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระดี ระหว่างคนที่ไปขอพระเครื่องกับคนที่ไปขอพระธรรม ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนท่านจะเมตตาเอ็นดูคนที่มาขอพระธรรมมากกว่าคนที่มากราบแค่มากราบท่านก็เมตตาสงเคราะห์โดยเมตตา แต่คนที่ใฝ่ดีใฝ่ธรรมปรารถนาคุณธรรม สอบถามพิจารณาในธรรมะ ท่านจะเมตตามากกว่าเอ็นดูมากกว่า อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงของอาจารย์ที่จากการที่เราไปพบเจอไปกราบครูบาอาจารย์หลายองค์
ดังนั้นเราต้องเข้าใจว่าเราเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาเราต้องโลภ พูดแบบนี้คนที่มีปัญญาน้อยก็จะสำคัญผิด ทำไมอาจารย์สอนว่าเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาแล้วต้องโลภ เรามาพบพระพุทธศาสนาแล้วเราต้องเก็บให้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งของดีที่สุดของพระพุทธศาสนาที่ศาสนาอื่นเขาไม่มี คือมรรคผลพระนิพพาน คือการดับไม่เหลือเชื้อ ใครจะไปบ้าง ใครจะเอาบ้าง บางคนเข้ามาแล้วไม่ค่อยโลภ ขอเพียงแค่ทานพอ จะได้มีเสบียงไว้เกิดเป็นเทวดามีทิพยสมบัติ ได้มีเสบียงไว้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อๆไป พิจารณาดูให้ดีว่าถ้าไม่โลภ สังสารวัฏเราก็ยังอีกอย่างยาวนานนัก แต่ถ้าเมื่อไรเราโลภ เห็นแล้วว่าถ้าไม่คว้าพระนิพพานได้ ความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเบียดเบียน การอยู่ในโลกที่มีความแปรปรวนไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พิจารณาได้แล้วเราก็ตั้งใจ แก่นแห่งพระพุทธศาสนา เข้ามาพบพระพุทธศาสนาไม่ใช่คิดว่าเปลือกหรือเอาแค่เปลือก ไม่คิดว่าเอาแค่ใบไม้ ไม่คิดว่าเอาแค่รากไม้ ดังนั้นจะมีศัพท์มีวลีคำพูดกล่าวถึงว่า ตามหาแก่นธรรมก็คือแก่นแท้ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา แก่นแท้ของธรรมะก็คือความดับไม่เหลือเชื้อ ก็คือพระนิพพาน
ดังนั้นขอให้เราทุกคนปฏิบัติจนพบแก่นธรรมคือพระนิพพาน ตั้งมั่นคว้าไว้ว่าเราพบเจอของดี ไม่ได้ไปหลงว่าเปลือก บางคนปฏิบัติที่บอกว่า เปลือกบ้าง กระพี้บ้าง ใบบ้าง รากบ้าง คือปฏิบัติมาแล้ว มีความสำคัญว่าฉันเป็นผู้ที่มีศีล ฉันเป็นผู้ที่ทำบุญทำทานไว้มาก ฉันเป็นผู้ที่ทรงธรรมวินัยได้เคร่ง ฉันเป็นผู้ที่ได้ฌานได้สมาธิ แต่ลืมไปว่าอันที่จริงสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าแก่น คือทำจิตให้วิมุตหลุดพ้น คือเข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด ทาน ศีล ภาวนาสมาธิ สมถะเป็นเครื่องมือเป็นเครื่องเสริมเป็นเครื่องประกอบ แต่แก่นคือการขัดเกลาจิต การปฏิบัติการเจริญวิปัสสนา ดังนั้นขอให้เราทุกคนมีปัญญาญาณเข้าถึงแก่นธรรมเข้าถึงพระนิพพานโดยถ้วนกัน
จากนั้นตั้งจิตน้อมกราบพระพุทธองค์ แผ่เมตตาน้อมกระแสบุญจากการเจริญพระกรรมฐานการเจริญวิปัสสนาญาณ ตระหนักถึงการรักษาวิสัยแห่งการปฏิบัติบรรลุธรรมทั้ง 4 ประการ คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จึงจะถือว่ารักษาพระพุทธศาสนาได้ครบ ปฏิบัติยังจิตตน เกลาจิตใจ ให้อภัยทาน ละวางกิเลส จิตยกระดับสู่ภูมิจิตภูมิธรรมที่สูงขึ้น
แผ่เมตตาเป็นกระแสลงมายังสามภพภูมิ ตั้งแต่อรูปพรหม พรหมโลก สวรรค์ทั้งหก โลกมนุษย์ สัตว์ มนุษย์ ที่มีกายเนื้อทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว โอปปะสัมภเวสี ภพภูมิมิติทับซ้อนเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณของโอปปาติกะทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย เปรตอสุรกายทั้งหลาย ขอสลายล้างความอาฆาตแค้นพยาบาทด้วยกระแสเมตตา
แผ่เมตตาไปยังดวงจิตของท่านทั้งหลายที่เร่าร้อนด้วยความอาฆาตแค้นขึ้นมาจองล้างจองผลาญจองเวรดวงจิตอื่น มนุษย์ ขอพลังงานกระแสแห่งการทำลายล้างพยาบาทจองเวรจงคลายตัวไปด้วยความสงบเย็นแห่งเมตตา กระแสบุญแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณที่ไม่เกินกฎของกรรมก็ขอให้ยังประโยชน์ บุคคลใดที่เป็นสาธุชนมีบุญกุศลก็ขอให้บุญรักษาคุ้มครอง บุคคลใดอยู่ในวิสัยที่ยังประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลที่เป็นปัจจัยเป็นกำลังต่อยุคชาววิไลก็ขอให้รอดปลอดภัย มีความสุข มีความเจริญ
แผ่เมตตาสว่างแล้วก็ลงลึกถึงที่สุดก็คือนรกภูมิทุกขุม ขอสรรพสัตว์ ท่านที่ทุกข์ จงพ้นจากความทุกข์ ท่านที่สุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ขอดวงจิตทั้งหลายจงสงบร่มเย็นด้วยเมตตาด้วยอภัยทาน ขอกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ กระแสเมตตาจากพระนิพพานแผ่คลุมทั่วสามภพภูมิ บรรเทาเบาบางสลายล้างวิบากกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอจงเบาบางสลายล้างกรรมทั้งหลาย วิบากทั้งหลาย อกุศลทั้งหลาย ของข้าพเจ้าผู้เจริญกรรมฐานวิปัสสนาเจริญเมตตาสมาธิในวันนี้ด้วยเถิด
กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวดาพรหมนุภาพ ขอจงมาประสิทธิประสาท กำลังแรงครูบาอาจารย์ พ่อแม่ผู้มีพระคุณ จงมาประสิทธิประสาทคุ้มครองรักษา ขอจงรอดพ้นจากภัยพิบัติ รอดชีวิต ทรัพย์สินปลอดภัย บ้านเรือนเคหสถานมีเกาะแก้วมียันต์เกราะเพชรคุ้มครองรักษา ร่างกายขันธ์ห้ามีกำลังแห่งพุทธคุณคุ้มครอง
จากนั้นกำหนดจิต พุ่งอาทิสมานกายกลับมาที่โลกมนุษย์ น้อมกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานลงมาคลุมบ้าน อธิษฐานยันต์เกราะเพชรที่เคยรับไปก็จงปรากฏสว่างจากครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม ขอจงสว่างคลุมบ้านคลุมหลังคาคลุมกาย กระแสแห่งพระนิพพานฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ ร่างกายของเราสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส สลายล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง กายเนื้อสว่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นแก้วใส โครงกระดูกกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นเส้นลมปราณทั่วร่างกายสว่างเป็นแก้วใส กล้ามเนื้อทุกส่วนอาการทั้งสามสิบสอง เซลล์ทุกเซลล์สว่างเป็นแก้วใส กายเนื้อกายทิพย์สว่างด้วยกระแสแห่งบุญ คลื่นกระแสพลังงานแห่งเมตตาเป็นคลื่นผลักสลายล้างวิบากอกุศล คลื่นกระแสจิตที่มีความคิดร้ายประทุษร้ายขอจงห่างหายไกลออกไปจากดวงจิตจากชีวิตจากกายนี้ มีแต่บุญหล่อเลี้ยงรักษา ธาตุธรรมรักษาคุ้มครองขันธ์ห้า คุ้มครองวาจา คุ้มครองจิต
จากนั้นตั้งจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรม กัลยาณมิตรทุกคนทั้ง 79 คน รวมถึงผู้ที่มาฟังมาปฏิบัติตามในภายหลัง ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ เขาเข้าถึงธรรมเข้าถึงปัญญา จิตปรารถนาในพระนิพพาน เราก็โมทนาบุญ เราก็พลอยได้อานิสงส์แห่งความบริสุทธิ์ของจิตแห่งฌานสมาบัติกรรมฐานที่ทำได้ แห่งเมตตาจิต บุญกุศลแห่งการให้มหาอภัยทาน บุญนั้นมากมายมหาศาลกว้างไกลกว้างใหญ่ยิ่งกว่าจักรวาลอนันตจักรวาล บุญจงหล่อเลี้ยงรักษา บุญจงมาเป็นเกราะแก้วคุ้มครอง บุญเป็นที่พึ่ง ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ประพฤติธรรม บุญจงคุ้มครอง
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกยาว สว่าง พุทโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์คุ้มครองรักษา บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญจากการปฏิบัติธรรม ปลอดภัยจากภัยพิบัติ แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง แล้วก็อย่าลืมเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้ จิตยิ่งตั้งมั่น
ตอนนี้มีเพื่อนบางคนเขียน ตั้งจิต ทรงอารมณ์พระนิพพานเขียนเป็นพันแผ่นได้เป็นพันแผ่นแค่คนเดียว อันนี้หลักทางโลกก็พูดตรงกันนะ สิ่งใดที่เราทำซ้ำเป็นร้อยครั้งเราจะเริ่มเชี่ยวชาญ พันครั้งเราก็จะเริ่มถือว่าเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญสูงเป็น Master เมื่อไรที่เราทำซ้ำเป็นหมื่นครั้งเราก็กลายเป็นปรมาจารย์ สิ่งที่เราทรงอารมณ์ ตั้งจิตมั่น มันก็จะไม่คลาดจะไม่หลุดไป เราอธิษฐานพระนิพพานเกินพันครั้ง เกินพันแผ่น เกินหมื่นแผ่น จิตเรายังไงก็ไปพระนิพพานชาตินี้ได้ อันนี้เป็นกุศโลบายด้วย เป็นการปฏิบัติธรรมด้วย เป็นการยังประโยชน์ด้วย ทำทั้งทีเราก็อย่างว่าต้องเอาให้คุ้ม ให้เกิดผล พระที่สร้างก็กลายเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์พิเศษที่อัศจรรย์กว่าการสร้างตามปกติทั่วไป เพราะเป็นจิตเจตนาจิตอธิษฐาน
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน พบกันใหม่ช่วงอาทิตย์หน้าสำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณ Be Vilawan